30 มีนาคม 2558

คืนรัง ; เมื่อฉันกลับมา

ค้นหา มานามนม จนเกือบลืม ว่าครั้งหนึ่ง ได้ลึกซึ้งถึงความหมายในนามนี้
วันนี้ กลับมาค้นพบโดยบังเอิญ จึงเชิญ ติดตา่มอ่านเรื่องราว ของสหายนิรนามตนนี้ต่อไป

12 เมษายน 2552

ก้าวพ้นสี ชี้ที่ประโยชน์สูงสุดของประชาชน !

ก้าวพ้นสี ชี้ที่ประโยชน์สูงสุดของประชาชน

สถานการณ์ในวันเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มพลังทางการเมืองสองฝ่ายในนิยามเรียกขานว่า กลุ่มทุนนิยมผูกขาด ที่มีระบอบทักษิณ และทักษิณ เป็นสัญลักษณ์ กับ กลุ่มทุนขุนนาง ที่มีระบอบ อมาตยาธิปไตย และ องคมนตรีรวมถึงผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเป็นสัญลักษณ์

ถือเป็นสถานการณ์ความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ คือ กลุ่มทุนสองกลุ่มที่ต่างแสวงประโยชน์จากการดูดซับทรัพยากรของส่วนรวมด้วยกันทั้งสิ้น มิได้มีสถานะของการต่อสู้ทางชนชั้น หรือ การต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในสังคมที่ถูกกดขี่ ขูดรีด เอารัดเอาเปรียบ ทั้งสิ้น

สงครามระหว่างสีที่อาจเกิดขึ้น หรือ แม้อาจมีหนทางในการเจรจาต่อรองสมยอมและจัดสรรผลประโยชน์ของทั้งสองกลุ่มฝ่ายก็ตาม จึงมิได้ดำเนินไปบนพื้นฐานผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติแต่อย่างใด

กล่าวสำหรับขบวนการต่อสู้ของประชาชนแล้ว สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวจึงมิใช่ สงครามของประชาชน !

จึงมิใช่ภารกิจในการที่ขบวนการต่อสู้ของประชาชนจำต้องอุทิศตนเข้าร่วมการต่อสู้อย่างทุ่มเทสุดจิตสุดใจไม่ว่ากับฝ่ายใด สีใด ก็ตาม ต่างจากสถานการณ์การต่อสู้ของประชาชนที่เข้าร่วมกับพันธมิตรฯ เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญร่วมกันในการต่อสู้กับการคอรัปฯ หรือความฉ้อฉล อำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มทุนผูกขาดในระบอบทักษิณ เป็นด้านหลัก และ เป้าหมายอื่นเป็นด้านรอง

มีเพียงใช้เงื่อนไขความขัดแย้งที่สลับซับซ้อนและยกระดับพัฒนาความเข้มข้นรุนแรงของสถานการณ์ดังกล่าว มาเพื่อการศึกษา ค้นคว้า วิเคราะห์ วิจัย เพื่อเข้าถึงแก่นแท้แห่งข้อเท็จจริงเพื่อการรู้เท่าทัน มีสติ อันเป็นต้นทุนสำคัญในการดำเนินบทบาทกำกับ ตรวจสอบ เฝ้าระวังในทางสังคม ในฐานะขบวนการการเมืองภาคประชาชน ในระยะต่อไป

นี่คือข้อเสนอถึงท่าทีทางการเมืองของขบวนการต่อสู้ทางการเมืองของภาคประชาชน ในประการที่ หนึ่ง

.........................................

ข้อเสนอถึงท่าทีทางการเมืองของขบวนการต่อสู้ทางการเมืองของภาคประชาชน ในประการที่ ๒

หากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทุนผูกขาด กับ กลุ่มทุนขุนนาง มีแนวทางการพัฒนาสู่การปะทะกันด้วยความรุนแรง ไม่ว่าในรูปแบบการสร้างสถานการณ์ ก่อจลาจล หรือ การกล่าวอ้างถึงวาทกรรมอันเข้มขลังของ “สงครามประชาชน” หรือ ในรูปแบบการใช้อำนาจรัฐเข้าปราบปราม ทำร้าย ฝ่ายตรงข้าม หรือ การพัฒนาสู่ขั้นของการใช้อำนาจรัฐ กระทำการรัฐประหาร

ขบวนการต่อสู้ภาคประชาชน มีท่าทีทางการเมืองในกรณีดังกล่าว อย่างไร ?

หนึ่ง ; เห็นว่าต้องพิจารณาแยกแยะตัวตนของกลุ่มแกนนำของทั้งสองส่วน กับ มวลชนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการต่อสู้ในฐานะกองหนุน หรือ มวลชนสนับสนุนของทั้งสองฝ่าย

สอง ; เห็นควรต้องแสดงท่าทีที่ชัดเจน ในการคัดค้านการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยทุกฝ่ายที่สนองประโยชน์เฉพาะกลุ่มพวกตน ไม่ว่าการก่อเหตุจลาจล ก่อวินาศกรรม หรือการใช้กำลังทหาร ตำรวจ ปราบปราม เข่นฆ่า ทำร้ายประชาชนไม่ว่ากลุ่มฝ่ายใด

สาม ; กรณีที่มีการใช้กำลังกองทัพ ฉวยโอกาสทำการรัฐประหาร อันเป็นรูปแบบการยึดอำนาจและเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ล้าหลังและขาดความชอบธรรม เราเห็นควรต้องคัดค้าน ต่อต้าน และต่อสู้กับการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมดังกล่าว

..............................

ข้อเสนอถึงท่าทีทางการเมืองของขบวนการต่อสู้ทางการเมืองของภาคประชาชน ในประการที่ ๓

ควรใช้เงื่อนไขและโอกาสในสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ สร้างความเข้าใจร่วมกันบนพื้นฐานผลประโยชน์ประชาชนอย่างแท้จริง ก้าวข้ามพ้นสีสัญลักษณ์ใดๆ ที่ไม่สะท้อนจุดยืนทางการเมืองและผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ใช้เป็นเงื่อนไขในการเชื่อมโยงถักทอกันเป็นเครือข่าย เป็นขบวนการต่อสู้ทางการเมืองของภาคประชาชนที่สดใหม่ เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง บนพื้นฐานของความเห็นพ้องทางการเมืองร่วมกัน เพื่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างสร้างสรรค์ต่อไป .

จึงเป็นการเปิดประเด็น เพื่อการสังสรรค์เสวนา ร่วมกันต่อไป.

22 กุมภาพันธ์ 2552

สหาย..ในยุคแห่งการแสวงหา...?





สหาย...ในยุคแห่งการแสวงหา...?

สำหรับ พ.ศ.นี้...ใช่ หรือ ?

ครั้งหนึ่ง..นานมาแล้ว คนรุ่นบุกเบิกขบวนการต่อสู้ของภาคประชาชน ได้เปิดพื้นที่ เบิดร่อง นำทางให้กับขบวนการต่อสู้ของประชาชน...พวกเขา "แสวงหา" หลักยึด ที่พึ่งทางความคิด อันชี้ทิศนำทาง การต่อสู้เพื่อผู้ทุกข์ยาก....

พวกเขา คิด และ มั่นใจ ว่าได้ค้นพบ..และยึดมั่น ว่าสิ่งนั้น..หลักการนั้น ...สำนักทฤษฏีนั้น...สามารถชี้ทิศนำทางการต่อสู้ของขบวนการประชาชนได้อย่างแม่นมั่น....

อีกครั้งหนึ่ง...นานมาแล้วเช่นกัน..คนอีกรุ่นหนึ่ง ก็เที่ยวท่อง อยู่ในแดนสนธยา คือ "การแสวงหา" ครั้งใหม่..ด้วยวลีงามว่า..ฉันจึงมาหาความหมาย...เมื่อพวกเขาเข้าใจว่า..สิ่งนี้คือความหมาย..แห่งการดำรงอยู่ การมีชีวิตที่มีค่า ค้นพบคุณค่า ของ การจัดความสัมพันธ์ระหว่างผลประโยชน์สว่นตัว กับ ส่วนรวม...เขาก็เข้าใจว่าเขาเยาว์ เขาเขลา เขาทึ่ง...เขาจึงค้นพบความหมาย คือ คุณค่าใหม่ในชีวิต...

เขาจึงใช้ชีวิต..ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า...แม้จะพบชะตากรรมแสนสาหัสในเวลาถัดมาก็ตาม....

แล้วก็อีกครั้งหนึ่ง..ไม่นานมานี้...คนที่ผ่านความบอบช้ำจากการค้นพคุณค่าครั้งก่อน...ต้องนอนลียแผล และพยายามเดินหนีห่างชะตากรรมที่ชีวิตต้องเข้าไปผกผัน ผูกพัน กับ เรื่องบ้านเรื่องเมือง...อีกครั้ง....แต่เมื่อความอยุติธรรมอยู่ตรงหน้า..ความบ้าก็มาเยือน...หลายคนจึงโจนทะยานเข้าผสานแน่นเป็นเนื้อเดียวกับขบวนแถวของผู้คนที่รุ่มร้อน...กินนอน บนถนน..ดำรงตนเฉกเช่นที่เคยเป็น...แม้เวลาได้เว้นวรรคชีวิตในลิขิตแห่งปัจฉิมวัย...ให่ห่างเหินจากการกิน เดิน นอน งและ รุก รบ ในสภาพสังขาร และสัมภาระเกินกว่าที่ตนเองจะเข้าใจ..(ในตนเอง...)....

เขาจึงโลดแล่นด้วยสัญชาติญาณ ...ผสานผนึก กาย ใจ จิตวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียว....

มาถึงวันนี้...วันที่โลกมีความสลับซับซ้อนและอ่อนไหว...เขา พบว่าตนเอง ยังต้องสู่การแสวงหาครั้งใหม่ ? เพราะเข้าไม่เข้าใจในเรื่องราวที่เพิ่งผ่านพ้น ค้นไม่พบ "คน" ที่เขาเคยคิดว่า "รู้จัก" ทั้งยังผิดจากหวัง พลาดจากที่ตั้งใจ ในผลของการต่อสู้...ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าทิศทางในอนาคตจักเป็นเช่นใด ?

เขาจึงเจ็บปวดรวดร้าวทรมา...โหยหาความเที่ยงแท้ที่จีรัง คือ ชีวิต...คือครอบครัว ...คือความรัก...

ใครจะไปคิดว่า...การแสวงหาครั้งใหม่วนมาได้อบ่างไร ? ในโจทย์เก่าดั้งเดิม...เราจะเข้าใจความสลับซับซ้อนของโลก ของผู้คน บนถนนสายเดียวกัน ได้อย่างเป็นจริงได้อย่างไร? เราจะจัดความสัมพันธ์ระหว่างเรา กับ พวกเขา(ผู้คนเหล่านั้น..)..อย่างไร ?

คนเดิม โจทย์เดิม กับ สถานการณ์ใหม่ ในโลกที่ซับซ้อน สับสน วุ่นวาย...โดยเฉพาะภายในขบวนแถวของพวกเราเอง....

กริ่งเกรง...ว่า "สหาย" จะเข้าใจความหมายของการสืบค้นคุณค่า หรือความหมาย...ในการ"แสงหา" ครั้งใหม่ ได้ดีอยู่แล้ว...

จึงไม่จำเป็นต้องก้าวเข้าสู่ปริมณฑลแห่งการแสวงหาครั้งใหม่แต่อย่างใด...

รอให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล...

จิตวิญญาณ"สหาย"ที่ไปพักร้อน ก็จะย้อนกลับมา ?

18 กุมภาพันธ์ 2552

ศักราชใหม่....



คารวะมิตรสหาย ผู้เข้ามาเยี่ยมชม blog นี้

ในศักรราชใหม่..อยากเปิดเวทีนี้ให้มีความคึกคักขึ้น....

ลองทบทวนเจตนารมย์ของผมในปฐมบท ดังนี้....

............

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว...
ณ ทิวเทือกเหนือดินแดนอันล้ำลึก บนรอยต่อของเทือกถนนธงชัยที่ทอดตัวยาวเหยียดจรดทิวเทือกตะนาวศรี...
ในอ้อมกอดแห่งภูผา ป่าดงดิบใหญ่ในภาคตะวันตก...มีแม่จันเป็นสายน้ำดังสายเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงผืนดินอันอุดม....
ที่ซึ่ง จิตใจอันวีระอาจหาญ คึกคะนองศึก...ได้หลอมรวมกับจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิที่สืบสานกันมาหลายชั่วคน...
เกิดเป็นชีวิตใหม่ที่..สง่างาม กล้าหาญ กล้าต่อสู้ กล้าเอาชนะ กล้าเสียสละ รักชาติ รักประชาชน มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว ทรหดอดทน...
คือ ชีวิตใหม่...ในร่าง "สหาย" ...ผู้อุทิศตัว อุทิศชีวิตเพื่อชาติ ประชาชน และการเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีกว่า....

สามสิบกว่าปีให้หลัง...

สหาย..ยังไม่ตาย..สหายยังคงอยู่...

ยังคงอยู่อย่างมีศักดิ์และสิทธิ์แห่งความเป็น "สหาย" อย่างเต็มเปี่ยม...

...เพื่อทำความดีเพื่อแผ่นดิน...

ในนามของ..." ส.นิรนาม"...นิยามแห่งการต่อสู้ที่ไร้ตัวตน.ทุกหนทุกแห่ง..ไปมา ไร้ร่องรอย..

เราเฝ้าคอย เพื่อนมิตรร่วมอุดมการณ์ สานต่อภารกิจแห่งประวัติศาสตร์ สู้ฝั่งฟัน วันฟ้าฝ้าฟาง...

สร้างกองทัพ "สหาย" บนไซเบอร์สเปซ....

พิทักษ์คนพาล อภิบาลคนดี...

คารวะ
ส.นิรนาม

08 พฤศจิกายน 2551

ไย"สหายไทย" ไม่รักกัน..?












"บางนา บางปะกง " คงไม่สามารถร่างโสลกตั้งคำถามนี้ได้ด้วยวลีเริ่มต้นบทความว่า...บทรำพึงข้างป่าช้าซ้ายไทย...
หากไม่ใช่ผู้เขียนเคยมีนิยามนำหน้านามว่า "สหาย"เช่นกัน...

ก่อนจะลำดับบทความในเนชั่นสุดสัปดาห์เรื่อง"เหมาเจ๋อตง"ร่ำไห้ ไย"สหายไทย"ไม่รักกัน...ดังนี้...
เริ่มจากลำดับความในบทว่าคาร์ล มาร์กซ์ , เฟดริก เองเกลส์ ,วลาดิเมียร์ เลนิน และ เหมา เจ๋อ ตง....ได้สร้างวีรภาพกับการปฏิวัติของมวลมนุษยชาติไว้อย่างไรบ้างก่อนจากไป ก่อนจบความที่ว่า.."หากวันนี้ประธานเหมายังคงมีชีวิตอยู่ คงเศร้าใจพิลึกที่เห็นเหล่า"สหายไทย"ผู้เคยท่องคติพจน์ปกแดงก่อนกินข้าวเช้าต้องลุกขึ้นมารบราฆ่าฟันกันเอง..."

ก่อนที่จะลำดับความการเปิดบทบาทสหายอีสานในนามสมัชชาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย นำโดยสหายชัด ที่นำขบวนพลพรรคสหายอีสานส่วนนี้ไปสวามิภักดิ์กับผลประโยชน์ที่อดีตนายกลูกสหายคำตันได้มอบให้จนเป็นที่เรียกขานกันต่อมาว่าพวกเขาได้กลายเป็น...สหายในพระบรมโภธิสมภาร...

ไล่เลียงตามมาด้วยขุมกำลัง สหาย ณ ป้อมค่ายทำเนียบไทยคู่ฟ้า ที่คลาคล่ำไปด้วย"นักรบจรยุทธ์" เริ่มจาก...สหายจากเขตงาน 196 ชัยภูมิ ที่ผู้เขียนเชื่อมโยงว่ามาเชียร์ "สหายสงคราม"อภิปรายบนเวที...นักรบแห่งภูพานตะวันออกจรดตะวันตก กับ สหายอรุณ...นักรบอีสานใต้ ส่วนที่นำโดยเลขาธิการเขตงาน...จนถึงนักรบจากภาคใต้ เขตงานสุราษฏร์ ชุมพร...ตบท้ายด้วยบทบาทของ ชัชวาลย์ ปทุมวิทย์....

ก่อนที่จะข้ามฟากไปลำดับถึงฟากฝั่ง"สีแดง" ที่นำโดย สหายสุภาพ,สหายไพรำ,สหายศรชัย,สหายวิรัติ,...ตามด้วย สุธาชัย,จรัล,เหวง,ธิดา,จิ้น...และสหายที่ไม่ประสงค์จะออกนาม...และไพร่พลจากเขตงานอีสานใต้(ส่วนหนึ่ง) เชียงราย และน่านเหนือ..

ซึ่งเผชิญหน้ากันในสมรภูมิครั้งนี้แบบต้องหักกันถึงขั้นแตกหัก...ก่อนตบท้ายว่า "แล้วยังงี้..จะไม่ให้วิญญาณประธานเหมาร่ำไห้ได้อย่างไร??"....

คงเป็นบทความที่ตั้งคำถามได้ถึงแก่นลึกของจิตวิญญาณของความเป็น"สหาย"ที่เคยร่วมรบในอุดมการณ์เดียวกัน....
อาจจะยังไม่มีคำตอบในวันนี้...กาลเวลา และ ความถูกต้องของสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างยึดถือ..จะเป็นผู้พิพากษา...
วิญญาณประธานเหมา จะร่ำไห้ก็ช่างปะไร...
แต่จิตวิญญาณของ "สหาย"ยังคงยึดมั่นในความผูกพันถึงชาติ ประชาชน และความถูกต้อง เป็นธรรม...แม้ในมุมมองของเขาแต่ละฝ่ายก็ตาม คือคุณค่าสำคัญของสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้....
พิสูจน์ว่า..แม้เวลา "พักรบ" เนิ่นนานมานับสามสิบกว่าปี....
แต่แก่นวิญญาณของ"สหาย" ยังไม่สูญหายไปกับกาลเวลา...
แม้ว่าสงครามครั้งนี้...พี่น้องต้องมารบกันเองก็ตาม.

05 พฤศจิกายน 2551

บทบาท"สหาย"ในสถานการณ์ปัจจุบัน...







สายลมเย็นปะทะใบหน้า โลมหยาดฝนปนเม็ดเหงื่อที่ผุดบนใบหน้า...
ชายหนุ่มใหญ่ถอนหายใจยาว ...กับภารกิจเบื้องหน้า หลังกองยางรถยนต์เก่าที่ดัดแปลงเป็นบังเกอร์กลางเมืองหลวง....
สายลมเย็นแห่งปลายฝนต้นหนาว ที่ราวฟ้าสุดสายตาหลังคลื่นทะเลภูเขาและเบื้องหลังกาลเวลาที่ผ่านเลยมากว่าสามสิบปี...
ที่หลังกองดินที่ถูกโกยขึ้นดัดแปลงเป็นบังเกอร์หลังแนวรบด้านตะวันตกที่เหตุการณ์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง....

เวลา..กว่าสามทศวรรษ มีพลังอำนาจในการเปลี่ยนแปลงเรื่องราวต่างๆในชีวิตของผู้คนทั้งปวง...อย่างยิ่งใหญ่...
แต่ ไม่อาจล่วงเกินเข้าไปในจิตวิญญาณของคนพันธ์หนึ่งที่เรียกขานตนเองว่า..."สหาย"...

"สหาย" คือจิตวิญญาณของคนพันธ์หนึ่งซึ่งเคารพในหลักแห่งความเสมอภาค ภราดรภาพ และรักความเป็นธรรมยิ่งชีพ...
มีความผูกพันอยู่กับชะตากรรมของผองชนผู้ทุกข์รำเค็ญ ถูกกดขี่ข่มเหง ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบ อย่างที่สุด...
รักชาติ รักประชาธิปไตย รักชนชั้นผู้ถูกกดขี่ขูดรีด...
จุดยืน อุดมการณ์ และจิตใจอันสูงเด่นของ "สหาย"ยังคงเหมือนสายลมเย็นแห่งฤดูกาล..ที่ต้องพัดพามาตามเวลาอย่างที่เคยเป็นมาอย่างเที่ยงตรง..

แม้นเวลาจะผ่านไป..แต่ทุกครั้งที่ประชาชนถูกรังแกกดขี่ข่มเหง ประเทศชาติถูกผู้ปกครองฉ้อฉลกอบโกยโกงกินใกล้สิ้นชาติ สังคมไร้สิทธิเสียงเสรีภาพอย่างที่ควรจะเป็น...สายลมเย็นแห่งการต่อสู้ก็จะพัดพามาอาบชโลมใจผู้คนให้สดชื่นตื่นใจเสมอมา....
จิตวิญญาณแห่ง "สหาย" ไม่เคยสูญหาย หรือ ตายไปกับกาลเวลา.....

ลุ พุทธศักราชปีทื่ ๒๕๕๑ ณ ใจกลางกรุงรัตนโกสินทร์...
ความคิดเห็นที่แปลกแยกแตกต่างทางการเมือง ได้ก่อตัว พัฒนาความขัดแย้งมาสู่การแตกขั้วอย่างชัดแจ้ง...ทั้งยังกว้างขวาง และลึกซึ้งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...
ผู้คน ถกเถียง ตวาดใส่ ชี้หน้าด่าทอ เผชิญหน้า..และพร้อมเข่นฆ่ากันให้อาสัญ....
ความขัดแย้งยกระดับทวีความรุนแรงและแผ่กว้างไพศาลไปทั้งแผ่นดิน...
หมดสิ้นเยื่อไย ชนเผ่าไท ที่เคยอยู่ร่ม อยู่ร่วมกันมาอย่างเป็นสุขเนิ่นนานนับร้อยนับพันปี...
ความขัดแย้งของสองขั้วสองขบวนชนผู้คิดเห็นแตกต่าง...เดินทางมาสู่การเผชิญหน้า เปิดหน้าไพ่ "สงครามประชาชน" ท้าชนกันทุกรูปแบบ ทุกที่ ทุกเวลา...

ณ ทางแพร่งแห่งสงครามประชาชนครั้งใหม่...
"สหาย" มากหน้าหลายตา จากหลากหลายหน่วย หลากหลายเขตงานได้ผสานร่วมเป็นเนื้อแท้เนื้อในของกองกำลังและองคาพยพของทั้งสองฝ่าย อย่างลึกซึ้ง แน่วแน่ และฮึกหาญ....
เป็นทั้ง เสธ.ออกแบบ ชี้นำ..และเป็นมวลชนคนเดินตาม....
เป็นทั้งผู้บังคับชัญชากองกำลัง..และขุนพลนักรบในแนวหน้า...
เป็นทั้งผู้เดินงานการเมือง การข่าว...และผู้เฝ้าฟัง พร้อมส่งเสียงเชียร์...
เป็น "สหาย" ที่ยืนประจัญหน้า กันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน....

"สหาย" ควรจะมีบทบาทอย่างไร ? ในสงครามที่ตนเองไม่ได้ก่อ....?
ขอคำตอบจงมีแด่ท่านที่เป็น "สหาย" ในสงครามในวันพรุ่งนี้.

04 พฤศจิกายน 2551